น้ำยาล้างเล็บ (Acetone. อาซีโตน) 1 L
อะซิโตน (Acetone)เป็นของเหลวที่ระเหยได้ ไม่มีสี และติดไฟได้ง่าย เป็นสารตัวทำละลายอินทรีย์ระเหยง่ายที่ไม่มีกลุ่มฮาโลจีเนตเต็ต ใช้มากในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมสำหรับใช้เป็นตัวทำละลายสารต่างๆ สามารถผลิต และสกัดได้จากธรรมชาติ และการสังเคราะห์ทางเคมีจากปิโตรเลียม
สูตรโมเลกุล C3H60
น้ำหนักโมเลกุล 58.08
CAS Number 67-64-1
UN Number 1090
ลักษณะทางกายภาพ เป็นของเหลวใสไม่มีสี ระเหยเป็นไอได้ดี มีกลิ่นมิ้นท์ จุดเดือด 56.5 องศาเซลเซียส จุดหลอมเหลว - 95 องศาเซลเซียส ติดไฟได้
อุตสาหกรรมที่ใช้
- ใช้ในอุตสาหกรรมการทำเครื่องสำอาง
- อุตสาหกรรมที่มีการใช้ตัวทำละลาย
- ใช้ในการชะล้าง
- เป็นสารไล่น้ำ
- ช่างเสริมสวย
- ช่างไม้ ช่างเฟอร์นิเจอร์
- การผลิตสารหล่อลื่น การผลิตคลอโรฟอร์ม
อุตสาหกรรมผลิต acetone โดยตรงกลไกการก่อโรค อะซิโตน สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทางได้แก่ ทางการหายใจ ทางการกิน และทางผิวหนัง (พบได้น้อย) เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้มีอาการมึนงง ซึม และซึมผ่านชั้นไขมันบริเวณผิวหนังทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง อะซิโตนจะถูกขับออกจากร่างกายทางลมหายใจออก และทางไตในรูปของคีโตนในปัสสาวะ
การเตรียมตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน อะซิโตนเป็นสารไวไฟ เมื่อเผาไหม้จะได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ดังนั้นการเข้าไปกู้ภัยต้องใช้ชุดที่ป้องกันไฟได้ และเนื่องจากการเผาไหม้จะทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ระดับของชุดควรเป็นชุดป้องกันชนิดที่มีถังบรรจุอากาศในตัว (Self-contained breathing apparatus SCBA)
อาการเฉียบพลัน ระบบประสาท เมื่อรับประทานอะซิโตนเข้าไปจะมีอาการคล้ายกับการดื่มสุราแต่จะไม่มีอาการครื้นเครง (euphoria) และอาการมักจะรุนแรงกว่าการดื่มสุรา อาการสำคัญคืออาการต่อระบบประสาทซึ่งมีได้ตั้งแต่ ซึม จนถึงหมดสติ นอกจากนี้ อะซิโตนยังมีฤทธิ์กดการหายใจ ทำให้หายใจช้า ระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้หลอดเลือดส่วนปลาย (peripheral circulation) ขยายตัว เกิดความดันโลหิตต่ำ ฤทธิ์ระคายเคือง ผู้ที่สัมผัสอะซิโตน อาจมีอาการแสบตา แสบจมูก ไอ และผื่นคันตามผิวหนัง
อาการระยะยาว ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับอาการระยะยาวของอะซิโตน แต่เชื่อว่ามีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง เหมือนฤทธิ์ของสารระเหยอื่นๆ ซึ่งทำให้เกิดความผิดปกติในเรื่องเกี่ยวกับสติปัญญาและระบบประสาท (neuropsychiatric disorder)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ตรวจเพื่อยืนยันการสัมผัสได้โดย การตรวจหาอะซิโตนในเลือด (acetone in blood) ภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากสัมผัสสาร และการตรวจหาอะซิโตนในปัสสาวะ (acetone in urine) ภายใน 3 ชั่วโมงหลังการสัมผัส
การเก็บรักษา
– ควรเก็บในภาชนะที่ปิดบรรจุมิดชิด จัดเก็บในบริเวณที่แห้ง เย็น มีการระบายอากาศที่ดี
– ควรเก็บในภาชนะที่ทำจากกแก้ว หลีกเลี่ยงการเก็บในภาชนะที่ทำด้วยโลหะ ใยสังเคราะห์ และพลาสติก
– ควรเก็บให้ห่างจากแหล่งความร้อน แสงแดด เปลวไฟ และสารที่เข้ากันไม่ได้
– อุณหภูมิสถานที่เก็บไม่ควรเกิน 30 องศาเซลเซียส
– สถานที่เก็บควรถูกต้องตามกฎหมายที่กรมโรงงานกำหนดในเรื่องการจัดเก็บวัตถุอันตราย มีป้ายเตือนอันตราย ป้ายเตือนให้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ป้ายห้ามสูบบุหรี่ ระยะห่างจากแหล่งความร้อน แหล่งเชื้อเพลิง อาคารสามารถป้องกันประกายไฟ เป็นต้น
การดูแลรักษา
การรักษาระยะเฉียบพลัน ให้การรักษาแบบประคับประคองโดยเฉพาะการเฝ้าระวังเกี่ยวกับระดับสัญญาณชีพและระดับความรู้สึกตัว เนื่องจากอะซิโตนสามารถทำให้เกิดความผิดปกติได้ทั้งระบบประสาทและระบบไหลเวียนโลหิต ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้ป่วยที่รับสัมผัสอะซิโตนโดยการรับประทาน ควรได้รับการล้างท้องและใช้ผงถ่านกัมมันต์ (activated charcoal) ในการดูดซับพิษ รักษาอาการแบบประคับประคองตามอาการ เช่น ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ จนร่างกายสามารถขับอะซิโตนออกมาได้เองจนหมด
การดูแลระยะยาว นัดติดตามอาการเพื่อสังเกตอาการทางระบบประสาท